“แต่ละซีนจะเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกเป็นอย่างไร หลาย ๆ ครั้ง เราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ร่วม หรือถ้ามีก็อาจอยู่ในส่วนที่ลึกมากจนไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้ อย่างเช่นความรู้สึกถึงการอยู่ในท้องของสัตว์ใหญ่ ปลาวาฬ หรือท้องแม่ ความรู้สึกมืดมน ลุ่มลึก เจ็บปวด โหยหา โหดร้าย ความกระวนกระวายที่ผสมปนเปกันอยู่ในมวลอากาศ
เราฟังแล้วก็นึกในใจว่าจะทำออกมาให้ไทกิอย่างไร แต่ด้วยความที่วิธีการทำงานของไทกิชัดเจนมาตั้งแต่วันแรกว่าเขาต้องการทดลองกับแม้กระทั่งปรัชญาของวิธีการทำงาน ส่งผลให้กระบวนการทำงาน เปิดพื้นที่ให้เราได้ลองอย่างเป็นอิสระภายใต้แผนการถ่ายทำที่ถูกกำหนดไว้
ด้วยความที่เราเองไม่เคยถ่ายหนังทดลองมาก่อน ทำให้โจทย์ในการถ่ายทำครั้งนี้ยากในช่วงอาทิตย์แรกที่รับถ่ายโปรเจ็กต์มา ก่อนจะเริ่มเตรียมงานจึงเป็นจุดที่ท้าทายมากที่สุด เพราะมันเป็นเรื่องที่เราจะต้องจัดการกับความคิด ทำรีเสิร์ชกับความรู้สึกและประสบการณ์ของตัวเอง แล้วจึงค่อย ๆ กระเทาะผนังขนบการทำงาน ความถนัดแบบเดิม ๆ ออก รวมถึงยอมรับสภาพที่จะเป็นสารตั้งต้นหรือตัวทำปฏิกริยาตัวหนึ่งที่ถูกนักทดลองคนนี้เทหรือผสมกับสารตัวอื่น ๆ อีกมากมาย
สิ่งที่เราทำก็คือ การพยายามคงสภาพความบริสุทธิ์ทางความคิดของตัวเองไว้ให้ได้ เพราะนั่นเป็นคุณสมบัติของสารตั้งต้น การต่อสู้กับบรรทัดฐานความคิดของตัวเองนั้นท้าทาย ยิ่งได้อิสระที่จะทำอะไรก็ได้ มันยิ่งกระตุ้นให้เราไม่อยากอยู่หรืออยากทำในแบบที่เราเคยชินและมั่นใจกับผลลัพธ์ของมัน เรากลับรู้สึกอยากเป็นขบถกับขนบของตัวเองในฐานะช่างภาพและตัวทำปฏิกริยา
เอาจริง ๆ ระหว่างเตรียมงานหรือถ่ายทำ เราไม่มั่นใจเลยว่างานในส่วนของเราจะออกมาเป็นอย่างไร ถ้ามองตามขนบเดิม เราไม่รู้เลยว่าหนังมันจะออกมาแบบไหน แต่เมื่อได้รับฟังผู้กำกับตั้งแต่ต้นและได้จัดการกับความคิดของตัวเองแล้ว สุดท้ายความรู้สึกระหว่างการทำงานของเรากลับไม่ได้เกิดจากความพยายามเค้นหรือกระเสือกกระสนที่จะเข้าใจเนื้อหา แม้กระทั่งความรู้สึกกังวลว่าผลลัพธ์มันจะออกมาอย่างไรก็มีน้อยมาก กลับกัน คือเราตื่นเต้นที่ได้ทำงาน และตั้งตารอที่จะได้ชมผลการทดลองนี้มากกว่า”
– ชนานันต์ โชติรุ่งโรจน์